ช่วงเวลาของการมาประจำเดือน สำหรับการมาประจำเดือนหลังผ่าตัดคลอดจะมีความเหมือนกับการคลอดธรรมชาติ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน แต่โดยปกติแล้วประจำเดือนจะมาช่วง 6-8 อาทิตย์หลังคลอดนั่นเอง
สิ่งที่คุณแม่หลังผ่าตัดคลอดควรให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ก็คือการทานอาหารที่มีประโยชน์และให้สารอาหารที่ครบถ้วน รวมทั้งการดื่มน้ำในปริมาณมากๆ เพื่อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงได้เป็นปกติเร็วไว ในส่วนของกิจกรรมต่างๆ ที่อาจเสี่ยงต่อการทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่แผลไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การอยู่ไฟ หรือการมีเพศสัมพันธ์ แนะนำให้งดเสียก่อน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อแผลผ่าตัดนั่นเองค่ะ
คนท้องเป็นริดสีดวง : อันตรายไหม รับมืออย่างไร – Mama Beyond
- อุปกรณ์ประคองไหปลาร้า และหัวไหล่ / DYNA Clavicle brace – Glacier59.com
- Set เสื้อสูทแขนกุดลายริ้ว + กางเกงขาสั้น +สายผูกเอว ดำ - Twins Shop
- ราคา iphone xs max ais serenade 4
- หม่อม สังวาล ย์ สิริ วชิร ภั ก ดิ์
- ผล สลาก 1 6 62 news
- Black desert awakening เว ล ไหน release
- ปูน เสือ เด คอ ร์
- ดูหนัง high and low the movie 2 end of sky sub indo
- Zootopia ภาค ไทย เต็ม เรื่อง
- น้ํา จิ้ม สุ กี้ aro
- คลี น ซิ่ง ลด สิว อุด ตัน
เคยบล็อกหลัง เพื่อผ่าตัดไหม ? - GotoKnow
การบล็อกหลัง (Spinal Block) หมายถึงการฉีดยาชาเข้าทางช่องไขสันหลัง (Subarachoid space) เพื่อให้อวัยวะที่อยู่ด้านล่างของตำแหน่งที่ฉีดยา มีอาการชา ส่วนใหญ่เป็นการผ่าตัดที่อยู่ต่ำกว่าช่องท้องส่วนล่าง เช่นผ่าครรภ์คลอด, ผ่าตัดไส้เลื่อน, ผ่าตัดเกี่ยวกับขา เป็นต้น การบล็อกหลังต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น (เมื่อก่อนวิสัญญีพยาบาลสามารถทำได้ แต่ต่อมามีกฎหมายห้ามทำเด็ดขาด) ขั้นตอนการบล็อกหลัง
ผู้ป่วย: ต้อง งดน้ำและอาหาร อย่างน้อย
๖ ชม.
ผ่าคลอด อาบน้ำอุ่นได้ไหม ต้องดูแลอะไรอีกบ้าง – คุณแม่ลูกอ่อน
แม้จะยอมรับกันโดยทั่วไปว่าการผ่าตัดคลอดในปัจจุบันมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการผ่าตัดคลอดจะไม่มีอันตรายอะไรเลย และเมื่อเปรียบเทียบกับการคลอดทางช่องคลอดแล้ว การผ่าตัดคลอดก็ยังคงมีอันตรายมากกว่าการคลอดทางช่องคลอดอยู่ดี
อันตรายจากการผ่าตัดคลอดเมื่อเปรียบเทียบกับการคลอดทางช่องคลอดที่ควรทราบมีหลายประการ ได้แก่
1. การผ่าตัดคลอดจะทำได้ คุณแม่ต้องได้รับยาระงับความรู้สึกหรือยาสลบ ซึ่งบางครั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อนจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น การมีความดันโลหิตลดต่ำลงทันทีจากการบล็อกหลัง การสำลักน้ำหรืออาหารเข้าไปในหลอดลมจากการดมยาสลบ นอกจากปัญหาที่แม่แล้ว ลูกที่คลอดออกมาจากแม่ที่ได้รับยาสลบอาจเกิดการขาดออกซิเจนและตัวเขียวได้
2. การผ่าคลอดต้องใช้มีดกรีดทั้งที่หน้าท้องและมดลูกเป็นแผลขนาดใหญ่ ทุกครั้งที่กรีดมีด จะมีการเสียเลือดจำนวนไม่น้อยตามมา ในขณะที่การคลอดทางช่องคลอดมีแผลที่ช่องคลอดเพียงเล็กน้อยและเสียเลือดน้อยกว่ากันมาก ถ้าคุณแม่ที่มีปัญหาเลือดจางอยู่แล้ว ถ้าต้องรับการผ่าคลอดอาจเกิดอันตรายได้ง่าย
3. การผ่าตัดคลอดมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าการคลอดทางช่องคลอด และมักเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงในช่องท้อง บางรายอาจเสียชีวิตได้
4.
หลังผ่าคลอดดื่มน้ำเย็นได้ไหม ความจริงแล้วนั้นตามหลักการแพทย์ไม่มีข้อห้ามให้คุณแม่ดื่มน้ำเย็น แต่เมื่อเปรียบเทียบระหว่างน้ำเย็นกับน้ำอุ่นแล้ว น้ำอุ่นมีข้อดีมากกว่า เนื่องจากจะทำให้ร่างกายของคุณแม่ฟื้นฟูเร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นน้ำนม และบรรเทาอาการหนาวในหลังคลอดได้เป็นอย่างดี โดยควรดื่มน้ำให้ได้มากกว่าวันละ 8 แก้ว เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
5. จำเป็นต้องอยู่ไฟหรือไม่ ไม่ว่าจะคลอดธรรมชาติหรือคลอดด้วยการผ่า ก็ควรอยู่ไฟหลังคลอดทั้งสิ้น แต่กรณีที่ผ่าคลอด ควรรอให้แผลหายดีก่อนหรือประมาณ 45 วันขึ้นไป แล้วจึงค่อยเริ่มอยู่ไฟ เพราะการอยู่ไฟเร็วเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อแผลผ่าได้ ซึ่งจะทำให้แผลปริหรือมีโอกาสติดเชื้อได้สูงนั่นเอง
และนี่ก็คือเรื่องที่คุณแม่หลังผ่าคลอดต้องรู้ ซึ่งก็หวังว่าสิ่งที่เรานำมาฝากกันในวันนี้จะช่วยคลายความกังวลใจ และทำให้คุณแม่ปฏิบัติตัวหลังผ่าคลอดได้อย่างถูกวิธีมากขึ้น
คุณแม่ผ่าคลอด ไม่ได้ชิล อย่างที่คิด
สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่มีกำหนดจะผ่าคลอดในอีกไม่นานนี้ คงจะมีเรื่องต่างๆ ให้กังวลใจมากมาย โดยเฉพาะ หลังผ่าคลอด ว่าต้องดูแลตัวเองอย่างไรและมีเรื่องอะไรที่คุณแม่ต้องรู้บ้าง วันนี้เราจึงนำ 5 เรื่องที่คุณแม่หลังผ่าคลอดควรรู้มาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลย
1. ท่านอนที่เหมาะกับคุณแม่หลังผ่าคลอด ท่านอนหลังคลอดจัดว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้คุณแม่กังวลไม่น้อย โดยแนะนำให้คุณแม่นอนท่าตะแคงจะดีที่สุด เพราะจะช่วยลดอาการเจ็บแผลได้ และควรนำหมอนหลายๆ ใบมารองศีรษะให้สูงขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้แผลที่หน้าท้องตึงจนเกินไป
2. อาหารที่ควรทานมากที่สุด หลังจากที่คุณแม่ผ่าคลอดแล้วควรจะทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ซึ่งอาหารที่คุณแม่อาจจะเน้นเป็นพิเศษก็คือ กลุ่มอาหารพวกโปรตีน อย่างเช่น เนื้อสัตว์ เนื้อปลา ที่จะช่วยในเรื่องของการซ่อมแซมร่างกายและช่วยให้ฟื้นฟูสุขภาพได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้เยอะๆ ด้วย โดยเฉพาะน้ำอุ่น
3. อาหารที่คุณแม่ไม่ควรทาน หลังผ่าคลอดคุณแม่ไม่ควรทานอาหารประเภทสุกๆ ดิบๆ ยกตัวอย่างเช่น ลาบดิบ แหนมดิบ หรือแม้กระทั่งส้มตำที่อาจจะเป็นอาหารโปรดของคุณแม่หลายๆ ท่าน รวมไปถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมด้วยเช่นกัน เนื่องจากช่วงดังกล่าวร่างกายของคุณแม่จะอ่อนแอ ทำให้มีโอกาสในการติดเชื้อจากการทานอาหารเหล่านี้ได้ง่าย และอาจส่งผลเสียต่อลูกน้อยที่ดื่มนมแม่อีกด้วย
4.
การคลอดและหลังคลอด ลำพังการตั้งครรภ์ คุณแม่ก็ต้องมีการดูแลตัวเองมากระดับหนึ่งแล้ว แต่หลังคลอด คุณแม่ต้องเพิ่มความใส่ใจในการดูแลตัวเองให้มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะคุณแม่ที่ต้อง ดูแลแผลผ่าคลอด จะอาบน้ำอุ่นได้ไหม นั่ง นอนท่าไหนได้บ้าง มีอะไรที่ต้องดูแล ไปติดตามกันเลยค่ะ เพิ่งผ่าคลอดมา ต้องดูแลแผลผ่าคลอดอย่างไร? ทำอย่างไรไม่ให้แผลติดเชื้อ?
แม้จะยอมรับกันโดยทั่วไปว่าการผ่าตัดคลอดในปัจจุบันมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการผ่าตัดคลอดจะไม่มีอันตรายอะไรเลย และเมื่อเปรียบเทียบกับการคลอดทางช่องคลอดแล้ว การผ่าตัดคลอดก็ยังคงมีอันตรายมากกว่าการคลอดทางช่องคลอดอยู่ดี
อันตรายจากการผ่าตัดคลอดเมื่อเปรียบเทียบกับการคลอดทางช่องคลอดที่ควรทราบมีหลายประการ ได้แก่
1. การผ่าตัดคลอดจะทำได้ คุณแม่ต้องได้รับยาระงับความรู้สึกหรือยาสลบ ซึ่งบางครั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อนจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น การมีความดันโลหิตลดต่ำลงทันทีจากการบล็อกหลัง การสำลักน้ำหรืออาหารเข้าไปในหลอดลมจากการดมยาสลบ นอกจากปัญหาที่แม่แล้ว ลูกที่คลอดออกมาจากแม่ที่ได้รับยาสลบอาจเกิดการขาดออกซิเจนและตัวเขียวได้
2. การผ่าคลอดต้องใช้มีดกรีดทั้งที่หน้าท้องและมดลูกเป็นแผลขนาดใหญ่ ทุกครั้งที่กรีดมีด
จะมีการเสียเลือดจำนวนไม่น้อยตามมา ในขณะที่การคลอดทางช่องคลอดมีแผลที่ช่องคลอดเพียงเล็กน้อยและเสียเลือดน้อยกว่ากันมาก ถ้าคุณแม่ที่มีปัญหาเลือดจางอยู่แล้ว ถ้าต้องรับการผ่าคลอดอาจเกิดอันตรายได้ง่าย
3. การผ่าตัดคลอดมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าการคลอดทางช่องคลอด และมักเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงในช่องท้อง บางรายอาจเสียชีวิตได้
4.
5%Heavy Marcaine)
และฉีดเข้าไปในเข็มที่แทงไว้
ปริมาณของยาชาขึ้นอยู่กับว่าต้องการให้ชาที่ระดับไหน
วิสัญญีพยาบาล:
เตรียมอุปกรณ์เจาะหลัง, วัดความดันโลหิตทุก ๑-๒ นาทีหลังฉีดยาชา
ต่อมาทุก ๕ นาที, เฝ้าผู้ป่วยตลอดเวลาผ่าตัด,
บันทึกสัญญาณชีพ
ภาวะแทรกซ้อน:
ขณะผ่าตัดอาจมีอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่อิ่ม
(เนื่องจากระดับการชาสูงเกินไป), คลื่นไส้ อาเจียน, หลังทำอาจปวดหลัง,
ปวดศีรษะมากขณะลุกนั่ง ถ้านอนราบอาการปวดจะลดลง
ที่รพ. สูงเนิน
ศัลยแพทย์ไม่ทำ Spinal block เพราะยุ่งยาก พอนานๆ ทำ จึงทำไม่ได้
(Fail block) ต้องแทงเข็มหลายครั้ง
ส่วนใหญ่จึงต้องเป็นหน้าที่ของวิสัญญีพยาบาล ที่ต้องดมยาสลบแทน
ก็แล้วแต่ว่าจะเป็น General Anesthesia c Endotrachial tube หรือ
Total Intravenous Ansethesia ในรอบสามปีที่ผ่านมา ไม่มีการทำ Spinal
block เลยค่ะ
และผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบไม่นิยมวิธีนี้เช่นกัน
เพราะไม่อยากรู้สึกตัวขณะทำผ่าตัด
กลัว กลัว
กลัว